ท้องผูกเป็นปัญหาสุขภาพที่หลายคนเผชิญ โดยอาการหลักคือความยากลำบากในการขับถ่าย อุจจาระแข็งและต้องออกแรงเบ่งมากกว่าปกติ ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ รวมถึงปัญหาที่ลำไส้, โรคต่างๆ, การใช้ยาบางชนิด, พฤติกรรมการบริโภคอาหารและการไม่ออกกำลังกาย การรักษาท้องผูกมีหลายวิธี ทั้งการใช้ยาและไม่ใช้ยา ยาที่ใช้รักษาท้องผูกมักเป็นยาระบาย ซึ่งมีหลายประเภท และแต่ละชนิดมีการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกัน
การจำแนกท้องผูกมีดังนี้
ท้องผูกเฉียบพลัน – มีอาการน้อยกว่า 3 เดือน
ท้องผูกเรื้อรัง – มีอาการนานกว่า 3 เดือน
สาเหตุของท้องผูก ได้แก่
- ลำไส้ทำงานผิดปกติ – เช่น การบีบตัวของลำไส้ลดลง ความบกพร่องในการควบคุมกล้ามเนื้อบริเวณไส้ตรงและทวารหนัก
- โรคหรือความผิดปกตินอกลำไส้ – เช่น ปัญหาทางเมแทบอลิซึม โรคทางระบบประสาท
- พยาธิสภาพที่ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก – เช่น ลำไส้ตีบ มะเร็งลำไส้ ไส้ตรงอักเสบ
- การได้รับยาที่มีผลข้างเคียงทำให้ท้องผูก – เช่น ยาลดความดันโลหิต ยาระงับปวดโอปิออยด์ ยาต้านซึมเศร้า ยาบำบัดโรคจิต
- พฤติกรรมการดำเนินชีวิต – เช่น การบริโภคอาหารที่มีไฟเบอร์ต่ำ การเคลื่อนไหวร่างกายน้อย ความเครียด
- โรคลำไส้ทำงานแปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome)
- สาเหตุอื่น ๆ หรือท้องผูกโดยไม่ทราบสาเหตุ
ในการรักษาท้องผูก โดยไม่ใช้ยา อาจประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคอาหาร เช่น การเพิ่มปริมาณไฟเบอร์ การดื่มน้ำมากขึ้น และการออกกำลังกายเป็นประจำ
สำหรับการใช้ ยาระบาย มีหลายประเภท
- ยาระบายที่เพิ่มน้ำหนักและปริมาณอุจจาระ
- ยาระบายที่ทำให้ลำไส้บีบตัว
- ยาระบายที่ทำให้อุจจาระอ่อนนุ่ม
- ยาระบายชนิดอื่นๆ
การใช้ยาระบายต้องระมัดระวังเนื่องจากอาจมีผลข้างเคียง เช่น การเสพติดยา ความผิดปกติของเกลือแร่ในร่างกาย หรือการรบกวนการดูดซึมของยาอื่นๆ ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาระบายเสมอ และควรใช้เป็นวิธีรักษาชั่วคราว ไม่ควรใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว
การรักษาท้องผูกโดยไม่ใช้ยามีหลายวิธี
โดยเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารและการออกกำลังกาย เพื่อช่วยทุเลาอาการท้องผูกหรือแม้กระทั่งรักษาให้หายขาด ต่อไปนี้คือแนวทางที่แนะนำ
- การดื่มน้ำมากขึ้น: ควรดื่มน้ำอย่างน้อย 1.5-2 ลิตรต่อวัน โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ขาดน้ำ น้ำจะช่วยให้อุจจาระนุ่มและเพิ่มปริมาณกากอาหารในลำไส้ การดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆ ในตอนเช้าสามารถช่วยกระตุ้นการขับถ่ายได้
- การบริโภคอาหารที่มีไฟเบอร์สูง: รับประทานไฟเบอร์ประมาณ 25-30 กรัมต่อวัน อาหารที่มีไฟเบอร์สูงเช่น ผัก ผลไม้ เมล็ดธัญพืช รำข้าวสาลี จะช่วยเพิ่มปริมาณกากอาหารและดูดน้ำเข้าไปในช่องลำไส้ เริ่มการเพิ่มไฟเบอร์อย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อป้องกันอาการท้องอืด
- การออกกำลังกาย: การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ช่วยในการกระตุ้นการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหาร ลดอาการท้องอืด และช่วยให้การขับถ่ายเป็นไปได้ดียิ่งขึ้น
- จัดการกับความเครียด: ความเครียดสามารถส่งผลต่อการทำงานของทางเดินอาหาร การผ่อนคลาย ทำสมาธิ หรือการฝึกโยคะสามารถช่วยลดความเครียดและปรับปรุงการทำงานของระบบย่อยอาหาร
- สร้างนิสัยการขับถ่ายที่ดี: พยายามทำให้การขับถ่ายเป็นเวลาประจำ ไม่ใช้เวลานานเกินไปในห้องน้ำ และหลีกเลี่ยงการเบ่งอุจจาระอย่างรุนแรง
การปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้สามารถช่วยลดหรือรักษาอาการท้องผูกได้ แต่หากอาการไม่ดีขึ้นหรือมีอาการรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
การจำแนกยาระบาย
ยาระบาย (laxatives) มีหลายประเภทตามการออกฤทธิ์ ซึ่งเป็นตัวเลือกหลักในการรักษาท้องผูก โดยปกติจะใช้หลังจากการปรับพฤติกรรมด้านอาหารและการออกกำลังกายไม่ได้ผล ยาเหล่านี้มีการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกันและมีชนิดที่เหมาะกับสภาพและสาเหตุของท้องผูกที่แตกต่างกัน ดังนี้:
ยาระบายชนิดเพิ่มปริมาณอุจจาระ (Bulk-forming Laxatives): ยาประเภทนี้มีไฟเบอร์หรือคาร์โบไฮเดรตโพลีเมอร์ที่ย่อยยาก ทำให้ไม่ถูกดูดซึมจากทางเดินอาหาร เช่น รำข้าวสาลี, เมล็ดเทียนเกล็ดหอย (psyllium husk), เมทิลเซลลูโลส ยาเหล่านี้ดูดน้ำไว้ในลำไส้ใหญ่ ทำให้ขยายและกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว อาจใช้เวลา 2-3 วันกว่าจะเห็นผล แต่ไม่เหมาะกับผู้ที่ลำไส้บีบตัวไม่ดีหรือท้องผูกจากอุจจาระอัดแข็ง
ยาระบายชนิดเพิ่มน้ำในลำไส้ (Osmotic Laxatives): เช่น พวกแมโครกอล, โพลีเอทิลีนไกลคอล, แล็กทูโลส, สารประกอบแมกนีเซียม ยาเหล่านี้ดึงน้ำเข้าไปในลำไส้ใหญ่ ช่วยให้อุจจาระนุ่มและผ่านสำไส้ใหญ่ได้ดีขึ้น แต่ละชนิดมีเวลาที่แตกต่างกันในการเริ่มเห็นผล แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์มีฤทธิ์แรงและอาจมีผลข้างเคียงต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
ยาระบายชนิดกระตุ้นการทำงานของลำไส้ (Stimulant Laxatives): เช่น บิซาโคดิล, ยามะขามแขก ยาระบายชนิดนี้กระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ช่วยให้กากอาหารเคลื่อนที่ผ่านลำไส้ได้ดีขึ้น มีฤทธิ์แรงและเห็นผลเร็ว แต่ไม่เหมาะสำหรับการใช้ระยะยาวเนื่องจากอาจมีผลข้างเคียง
ยาระบายชนิดทำให้อุจจาระนุ่ม (Stool Softeners): เช่น ด็อกคิวเสต ยาเหล่านี้ช่วยให้อุจจาระเหลวและขับถ่ายง่ายขึ้น มีประสิทธิภาพในกรณีที่อุจจาระเป็นก้อนแข็ง แต่ข้อมูลการศึกษาด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยในระยะยาวมีน้อย
การใช้ยาระบายควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกยาที่เหมาะสมกับสาเหตุและสภาพของท้องผูก และควรระมัดระวังผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น.
ปัญหาด้านสุขภาพจากการใช้ยาระบายในระยะยาวหรือการใช้ยาระบายที่มีฤทธิ์แรงอาจนำไปสู่ที่ดังต่อไปนี้
ยาระบายทุกชนิด: การใช้งานอย่างต่อเนื่องสามารถทำให้เกิดความไม่สมดุลของสารอาหารและอิเล็กโทรไลต์ในร่างกาย โดยเฉพาะยาที่มีผลทางยาแรง ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวมและทำให้ร่างกายอ่อนแอ การขาดสารอาหารที่เพียงพอและการสูญเสียสารอิเล็กโทรไลต์จำเป็นอาจส่งผลเสียอย่างรุนแรงต่อหลายระบบในร่างกาย
ยาระบายเพิ่มปริมาณอุจจาระ: ชนิดนี้มีผลในการเพิ่มปริมาณอุจจาระและอาจทำให้เกิดอาการปวดท้อง, ท้องอืด, รู้สึกอิ่มเกินไป, และมีแก๊สในลำไส้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาที่มีไฟเบอร์ไม่ละลายน้ำ เช่น รำข้าวสาลี ซึ่งอาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายในท้องและปัญหาการย่อยอาหาร
ยาระบายเพิ่มน้ำในลำไส้: ชนิดนี้อาจนำไปสู่อาการท้องอืด, ความรู้สึกไม่สบายท้อง, แก๊สในลำไส้, ท้องเดิน, และขาดน้ำ บางชนิดเช่นพีอีจีอาจทำให้เกิดการระคายเคืองลำไส้ใหญ่ หรือแล็กทูโลสที่อาจทำให้คลื่นไส้ นอกจากนี้ยาระบายชนิดนี้อาจทำให้การดูดซึมของยาอื่นๆ ลดลง ดังนั้นจึงควรระมัดระวังในการใช้ยาเหล่านี้ร่วมกับยาอื่นๆ
ยาระบายกระตุ้นการทำงานของลำไส้: ยาชนิดนี้อาจทำให้เกิดอาการปวดท้อง, ปวดเกร็งท้องรุนแรง, ท้องเดิน, และหากใช้ยาเป็นเวลานานอาจส่งผลเสียต่อระบบประสาทในทางเดินอาหาร การใช้ยาประเภทนี้ไม่ควรเกิน 4 สัปดาห์ เนื่องจากอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพระยะยาว นอกจากนี้ ยาบางชนิดเช่นมะขามแขกอาจทำให้ปัสสาวะมีสีเข้ม
ยาระบายทำให้อุจจาระนุ่ม: ยาชนิดนี้อาจทำให้เกิดอาการปวดท้อง, ท้องอืด, ท้องเดิน, และอาการระคายคอขณะรับประทาน อาการเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างความไม่สะดวกในชีวิตประจำวัน แต่ยังสามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวมของผู้ใช้ได้
การใช้ยาระบายควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และไม่ควรใช้เป็นเวลานานเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงเหล่านี้
วิธีเลือกใช้ยาระบาย
ยาระบายชนิดเพิ่มปริมาณอุจจาระ: มักเป็นทางเลือกแรกในการรักษาท้องผูก โดยเฉพาะในผู้ที่รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์น้อย เนื่องจากมีความปลอดภัยสูงและสามารถใช้ได้เป็นเวลานาน อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพอาจต่ำกว่ายาระบายชนิดอื่นและอาจทำให้ท้องอืด ไม่เหมาะกับผู้ที่มีอุจจาระอัดเป็นก้อนแข็งหรือผู้สูงอายุที่ลำไส้บีบตัวไม่ดี เนื่องจากยาชนิดนี้มีผลออกฤทธิ์ช้า อาจใช้เวลา 2-3 วันกว่าจะเห็นผล
ยาระบายชนิดเพิ่มน้ำในลำไส้: ควรพิจารณาใช้เมื่อยาระบายชนิดเพิ่มปริมาณอุจจาระไม่ได้ผล พีอีจีและแล็กทูโลสเป็นตัวเลือกที่ดี เนื่องจากมีการศึกษาวิจัยสนับสนุนในด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพ หากอาการท้องผูกยังคงมีอยู่หลังจากใช้ยานี้นานไม่น้อยกว่า 6 สัปดาห์ อาจเปลี่ยนไปใช้ยาระบายชนิดกระตุ้นการทำงานของลำไส้ เช่น บิซาโคดิลหรือยามะขามแขก
ยาระบายที่มีฤทธิ์แรง: บิซาโคดิล, ยามะขามแขก, และแมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ไม่ควรใช้เป็นเวลานาน เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการขาดสารอาหารและความไม่สมดุลของอิเล็กโทรไลต์
ท้องผูกที่อุจจาระเป็นก้อนแข็ง: ยาระบายชนิดเพิ่มน้ำในลำไส้และชนิดทำให้อุจจาระนุ่ม เช่น พีอีจี, แล็กทูโลส, และด็อกคิวเสต ช่วยให้อุจจาระเหลวและขับถ่ายง่ายขึ้น หากอุจจาระอัดเป็นก้อนแข็งจนถ่ายไม่ออก อาจพิจารณาใช้ยาสวนหรือยาเหน็บทวาร
ในผู้สูงอายุ: ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาระบายชนิดกระตุ้นการทำงานของลำไส้บ่อยเกินไป เนื่องจากอาจทำให้ลำไส้บีบตัวไม่ดี พีอีจีและแล็กทูโลสเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้สูงอายุ เนื่องจากมีการศึกษาวิจัยสนับสนุนในด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพแม้ใช้เป็นเวลานาน
ในผู้หญิงตั้งครรภ์: สามารถใช้ยาระบายได้เช่นเดียวกับผู้ที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ โดยเริ่มจากยาระบายชนิดเพิ่มปริมาณอุจจาระ ตามด้วยยาระบายชนิดเพิ่มน้ำในลำไส้ และชนิดทำให้อุจจาระนุ่ม ยาเหล่านี้ไม่ถูกดูดซึมเข้าร่างกายมากนัก แต่ไม่แนะนำให้ใช้ยาระบายชนิดสวนทวาร เนื่องจากมีข้อมูลน้อย การใช้ยาระบายบ่อยเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อสมดุลอิเล็กโทรไลต์ของทารกหลังคลอด
ในผู้หญิงที่ให้นมบุตร: สามารถใช้ยาระบายได้เช่นเดียวกับผู้อื่น โดยเริ่มจากยาระบายชนิดเพิ่มปริมาณอุจจาระ ตามด้วยยาระบายชนิดเพิ่มน้ำในลำไส้ และชนิดทำให้อุจจาระนุ่ม ยาเหล่านี้ไม่ถูกดูดซึมเข้าร่างกายมากนัก แต่ควรระวังการใช้ยาที่ถูกดูดซึมเข้าร่างกายได้บ้าง เช่น แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ บิซาโคดิล และยามะขามแขก การใช้ยาเป็นครั้งคราวสามารถทานได้แต่ไม่ควรใช้จนติดเป็นนิสัย
สามารถใช้ยาระบายได้นานเท่าไหร่
การใช้ยาระบายควรเป็นตัวเลือกสุดท้ายหลังจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเกี่ยวกับการบริโภคอาหารและการออกกำลังกายแล้วไม่สามารถช่วยแก้ไขอาการท้องผูกได้ ใช้เพื่อบรรเทาอาการท้องผูกชั่วคราวและควรหยุดใช้เมื่ออาการดีขึ้น การใช้ยาเป็นเวลานานอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ เช่น การขาดสารอาหาร, การเสียสมดุลอิเล็กโทรไลต์ในร่างกาย, ลำไส้เกิดความเคยชินกับยา, รบกวนระบบประสาทในทางเดินอาหาร และควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หากจำเป็นต้องใช้ยาเป็นเวลานาน
หากยาระบายไม่ได้ผล อาจเปลี่ยนหรือเพิ่มยาอื่นๆ ที่มีกลไกการออกฤทธิ์ต่างกัน เช่น ยากระตุ้นสารหลั่งในลำไส้ (secretagogues) เช่น ลูบิพรอสโตน (lubiprostone) และ ลินาโคลไทด์ (linaclotide) ยากระตุ้นตัวรับซีโรโทนิน เช่น พรูคาโลไพรด์ (prucalopride) และยายับยั้งการดูดซึมน้ำดีจากลำไส้กลับสู่ตับ เช่น อีโลบิซิแบต (elobixibat) สำหรับท้องผูกจากการใช้ยาโอปิออยด์ การรักษาจะใช้ยาต้านโอปิออยด์ เช่น เมทิลนาลเทรกโซน (methylnaltrexone), นาโลเซกอล (naloxegol), นาลเดเมดีน (naldemedine) ซึ่งออกฤทธิ์เฉพาะในทางเดินอาหาร โดยไม่รบกวนฤทธิ์ระงับปวดของโอปิออยด์
ยาเหล่านี้มีผลข้างเคียงที่แตกต่างกัน ส่วนใหญ่มีอาการปวดท้องและท้องเดินเป็นผลข้างเคียงหลัก แต่โดยรวมแล้วผลข้างเคียงไม่รุนแรง อย่างไรก็ตาม การใช้ยาเหล่านี้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อประเมินผลข้างเคียงและปรับขนาดยาให้เหมาะสม
นอกจากนี้ ควรรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง ดื่มน้ำเพียงพอ และออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อช่วยบรรเทาและป้องกันอาการท้องผูก หากปัญหาท้องผูกไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและการรักษาที่เหมาะสม การใช้ยาระบายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการรักษา และควรใช้ยาเฉพาะเมื่อจำเป็นและตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น
คำเตือนและข้อควรระวังเกี่ยวกับการใช้ยาระบาย:
- ปวดท้องเฉียบพลัน: ห้ามใช้ยาระบายในกรณีปวดท้องเฉียบพลัน, คลื่นไส้, อาเจียน, หรืออาการของโรคไส้ติ่งอักเสบหรือสำไส้อุดตัน ควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัย.
- การรักษาไม่ใช้ยา: ก่อนใช้ยาระบาย, ควรลองปรับพฤติกรรมในด้านการบริโภคอาหารและการออกกำลังกายก่อน.
- ยาระบายเพิ่มปริมาณอุจจาระ: ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ลำไส้บีบตัวไม่ดีหรือมีอุจจาระแข็ง ออกฤทธิ์ช้า, ใช้เวลา 2-3 วันในการเห็นผล.
- การรับประทานยาพวกไฟเบอร์: ต้องให้ยาพองตัวในน้ำก่อนรับประทาน เพื่อป้องกันการอุดตันที่หลอดอาหารหรือทางเดินอาหาร.
- การดื่มน้ำ: ในช่วงที่ใช้ยาระบาย, ควรดื่มน้ำให้มากเพื่อป้องกันการขาดน้ำ.
- การรับประทานยา: บางชนิดสามารถรับประทานพร้อมอาหารหรือไม่ก็ได้ ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากเอกสารข้อมูลผลิตภัณฑ์ยา.
- หลีกเลี่ยงการรับประทานยาพร้อมยาอื่น: ยาระบายบางชนิดอาจรบกวนการดูดซึมของยาอื่น.
- ยาระบายที่มีฤทธิ์แรงหรือออกฤทธิ์เร็ว: ควรระวังในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีปัญหาเรื่องการเดิน.
- ยาระบายประเภทสารประกอบแมกนีเซียม: ไม่ควรใช้ในผู้ป่วยโรคไตหรือหัวใจ.
- การใช้ยาเกินขนาด: หลีกเลี่ยงการใช้ยาเกินขนาดที่กำหนด การเพิ่มขนาดยาอาจทำให้ท้องเดินรุนแรง.
- การใช้ยาระบายเพื่อลดน้ำหนัก: ห้ามใช้ยาระบายเพื่อการลดน้ำหนัก เนื่องจากอาจเกิดผลเสียต่อร่างกาย.
- การใช้ยาระบายควรเป็นครั้งคราว: ควรหยุดใช้เมื่ออาการท้องผูกทุเลาลง ในระยะยาวควรปรับพฤติกรรมการบริโภคอาหารและการออกกำลังกาย.